ทองคำในตลาด Forex นั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงและผันผวนสูง ดังนั้น การมีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ให้มองเห็นแนวโน้มของราคาได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำนั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และ Price Action เป็นการเทรดกราฟเปล่าที่ตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดีจนกลายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เทรดเดอร์ระดับโลกนิยมใช้กัน
Price Action คืออะไร
เป็นการนำพฤติกรรมการเคลื่อนไหวบนกราฟราคาทองคำในอดีต มาช่วยวิเคราะห์ทิศทางการซื้อขาย ดูสภาวะอารมณ์และการตัดสินใจของเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ในตลาดเวลานั้น ๆ เพื่อใช้ในการหาจุดซื้อขาย โดยเป็นรูปแบบกราฟแท่งเทียนเปล่าที่เรียบง่ายแต่กลับวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมี Win Rate ที่สูง
โดยเทรดเดอร์จะต้องทำการศึกษาและจดจำรูปแบบต่าง ๆ ของ Price Action ซึ่งได้มีการเก็บสถิติไว้มากมายจนกลายเป็นองค์ความรู้ ทฤษฎีพฤติกรรมราคา Price Action เทคนิคที่จะช่วยสะท้อนให้เห็นแนวโน้มของราคาตลาดในเวลานี้ว่า เป็นฝั่งของผู้ซื้อหรือผู้ขาย
Price Action เป็นพฤติกรรมราคาบนกราฟแท่งเทียนเปล่าที่สะท้อนให้เห็นทิศทาง อารมณ์
และการตัดสินใจของเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ในเวลานั้น ๆ
ข้อดีของการใช้ Price Action
- ระบุจุดเปิดปิดออเดอร์ได้รวดเร็วกว่า Indicator
- ช่วยให้เข้าใจอารมณ์ของสภาวะตลาดในเวลานั้น
- มองเห็นทิศทางของพฤติกรรมการซื้อขายของตลาด
- ทำความเข้าใจได้ง่าย ไม่มีความซับซ้อน
- ได้รับข้อมูลจากตลาดแบบเรียลไทม์ เป็นแหล่งข่าวชั้นดี
- ทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงกับตลาดที่มีความผันผวนตามสถานการณ์เศรษฐกิจของโลกด้วยปัจจัยกระตุ้นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น อัตราเงินเฟ้อ, ข่าวสงคราม, นโยบายของธนาคารกลาง ซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาทองคำได้ตลอดเวลา
- ได้รับความนิยมสูงจากเทรดเดอร์ทั่วโลก การันตีถึงประสิทธิภาพของ Price Action
ข้อควรระวังในการใช้ Price Action
- แต่ละรูปแบบของ Price Action สามารถใช้ได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
- การใช้ Price Action รูปแบบเดียวอาจจะไม่แม่นยำ 100% ควรศึกษารูปแบบที่พบในช่วงเวลาไทม์เฟรมที่ใช้งานเพื่อเพิ่มความแม่นยำ
ส่วนประกอบของ Price Action
วิธีเข้าใจรูปแบบ Price Action ดีที่สุดก็คือ การทำความเข้าใจส่วนประกอบต่าง ๆ ของกราฟแท่งเทียนนั่นเอง เนื่องจากพฤติกรรมราคาถูกสะท้อนออกมาผ่านกราฟแท่งเทียน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่เทรดเดอร์ต้องรู้
ส่วนประกอบของกราฟแท่งเทียน
ภาพที่แสดงส่วนประกอบต่าง ๆ ของกราฟแท่งเทียน
ความหมายของส่วนประกอบต่าง ๆ ของแท่งเทียน
ความหมายของสีแท่งเทียน
คุณภาพของแท่งเทียน
สำหรับคุณภาพของแท่งเทียนเป็นสิ่งช่วยสะท้อนให้เทรดเดอร์ได้เห็นความแข็งแกร่งของปริมาณการซื้อขายว่ามากน้อยเพียงใด ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็นแท่งเทียนลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
เป็นภาพลักษณะของแท่งเทียนที่มีอยู่ในตลาดทั้งหมด โดยขนาดและความยาวของแต่ละแท่งเทียนสะท้อนให้เห็นถึงระดับความแข็งแกร่งของปริมาณการซื้อขายที่เกิดบนตลาดในเวลานั้น ๆ
- หมายเลข 1 แท่งเทียนสีเขียวที่มีลักษณะเป็น Very Bullish ขนาดแท่งเทียนจะลักษณะยาวและใหญ่มีปริมาณไส้เทียนที่น้อย แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของแรงซื้อที่แข็งแกร่งมาก ๆ เป็นแรงส่งของเทรนด์ขาขึ้น
- หมายเลข 2-4 จะเห็นว่าขนาดแท่งเทียนสีเขียวเริ่มสั้นลงและปริมาณไส้ยาวมากขึ้นอยู่ด้านบนหรือด้านล่าง สะท้อนว่าคุณภาพของแรงซื้อเริ่มน้อยลง เป็นการส่งสัญญาณว่าเทรนด์ขาขึ้นเริ่มอ่อนแรงลง
- หมายเลข 4-6 เป็นลักษณะของแท่งเทียนสีเขียวหรือสีแดงที่มีไส้เทียนยาวทั้งด้านบนและด้านล่างขนาดแท่งเทียนที่สั้นเรียกว่า โดจิ เป็นสัญญาณการเกิด Side way หรือการพักตัว
- หมายเลข 7-8 จะเห็นว่าขนาดแท่งเทียนสีแดงเริ่มสั้นลงและปริมาณไส้ยาวมากขึ้นอยู่ด้านบนหรือด้านล่าง สะท้อนว่าคุณภาพของแรงขายเริ่มน้อยลงตามลำดับ เป็นการส่งสัญญาณว่าเทรนด์ขาลงเริ่มอ่อนแรงลง
- หมายเลข 9 แท่งเทียนสีแดงที่มีลักษณะเป็น Very Bearish ขนาดแท่งเทียนจะลักษณะยาวและใหญ่มีปริมาณไส้เทียนที่น้อย แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของแรงขายที่แข็งแกร่งมาก ๆ เป็นแรงส่งของเทรนด์ขาลง
รูปแบบ Price Action
UpBar
จุดเริ่มต้นของแท่งเทียนจะเริ่มที่เส้นประ Open เป็นราคาเปิด จากนั้นก็มีการเทขายจนราคาไปที่จุด Low แล้วเกิดแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่องไปจนถึงจุด High แล้วมีการเทขายมาปิดที่จุด Close ราคาจะวิ่งตามเส้นทึบด้านขวามือ
- มีอีกชื่อเรียกว่า Bullish
- เป็นแท่งเทียนที่มีส่วนประกอบด้วย High (ราคาสูงสุด) , Low (ราคาต่ำสุด), Open อยู่ด้านล่าง, Close อยู่ด้านบน
- ลักษณะของแท่งเทียนราคาเปิดจะอยู่ต่ำกว่าราคาปิด
- สะท้อนให้เห็นว่ากำลังการซื้อมีมากกว่าการขายแนวโน้มจะเป็น Uptrend หรือขาขึ้น
DownBar
จุดเริ่มต้นของแท่งเทียนจะเริ่มที่เส้นประ Open เป็นราคาเปิด จากนั้นก็มีการเข้าซื้อจนราคาไปที่จุด High แล้วตลอดวันมีการเทขายต่อเนื่องไปจนถึงจุด Low พบว่ามีการเข้าซื้อช่วงท้ายมาปิดที่จุด Close ราคาจะวิ่งตามเส้นทึบด้านขวามือ
- มีอีกชื่อเรียกว่า Bearish
- เป็นแท่งเทียนที่มีส่วนประกอบด้วย High (ราคาสูงสุด) , Low (ราคาต่ำสุด), Open อยู่ด้านบน, Close อยู่ด้านล่าง
- ลักษณะของแท่งเทียนราคาปิดจะอยู่ต่ำกว่าราคาเปิด
สะท้อนให้เห็นว่ากำลังการขายมีมากกว่าการซื้อแนวโน้มจะเป็น Downtrend หรือขาลง
Inside Bar
Price Action แบบ Inside Bar เริ่มต้นมีแท่งมาสเตอร์ที่มีขนาดใหญ่จากนั้นก็จะมีแท่งเทียนเล็ก ๆ เกิดตามมาเรื่อย ๆ โดยราคาของแท่งเล็ก ๆ จะอยู่ภายในกรอบของแท่งมาสเตอร์แสดงให้เห็นว่ามีการพักตัวของราคาจนกว่าจะมีราคาทะลุกรอบมาสเตอร์เพื่อแสดงถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น
Inside Bar 1 พบแท่งมาสเตอร์แท่งสีเขียวแท่งใหญ่จากนั้นก็มีแท่งสีแดงที่มีขนาดเล็กตาม 2 แท่งสีเขียวอีก 4 แท่งจนเกิดการทะลุกรอบราคาขึ้นไปแสดงแนวโน้มขาขึ้น Inside Bar 2 แท่งเทียนมาสเตอร์แท่งเขียวใหญ่ตามด้วยแท่งเทียนสีแดงและสีเขียวขนาดเล็กที่ราคาแกว่งอยู่ในกรอบของมาสเตอร์ จนแท่งที่ 3 เกิดการทะลุกรอบราคาไปด้านบนแสดงแนวโน้มขาขึ้น
- มีอีกชื่อเรียกว่า Narrow range bar
- จะมีลักษณะที่สังเกตได้ว่าตำแหน่ง High ของแท่งเทียนปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าแท่งเทียนก่อนหน้าและตำแหน่ง Low อยู่สูงกว่าแท่งเทียนก่อนหน้า โดยราคาแท่งเทียนปัจจุบันจะวิ่งอยู่ในกรอบของแท่งเทียนก่อนหน้า
- มีรูปแบบที่เหมือนแท่งเทียนมีการบีบตัวของราคาลง
- สะท้อนให้เห็นว่ามีการพักตัวของราคา ราคายังไม่เลือกแนวโน้มว่าไปในทิศทางไหน
- จะพบบ่อยในตลาดที่มีแนวโน้มแนะนำให้ทำการเทรดไปตามแนวโน้ม เมื่อราคาทะลุไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งเป็นการแสดงถึงโอกาสที่จะเกิดแนวโน้ม
- เบื้องต้นต้องมองรูปแบบที่เกิดขึ้นให้เจอก่อนโดยเน้นให้แท่งเทียนมาสเตอร์ที่มีความแข็งแกร่งของเทรนด์หลัก เมื่อเจอแล้วให้รอให้ราคาทะลุกรอบมาสเตอร์ให้ได้ก่อนจากนั้นให้ทำการเข้าซื้อขายโดยต้องดูให้ออกว่าเทรนด์หลักมีแนวโน้มไปทิศทางไหน
Outside Bar
Bearish แรงขายมากกว่าแรงซื้อ พบบ่อยในแนวโน้มขาขึ้น โอกาสกลับตัวเป็นขาลงสูง Bullish มีแรงซื้อมากกว่าแรงขาย พบบ่อยในแนวโน้มขาลง โอกาสกลับตัวเป็นขาขึ้นสูง
Outside Bar 1 จะพบว่าเกิดแท่งเทียนสีแดงขนาดใหญ่ครอบคลุมแท่งเทียนสีเขียวที่เกิดก่อนหน้า จากเทรนด์ของกราฟพบว่ามีการพักตัวของราคาก่อนที่จะกลับตัวเป็นขาขึ้น
- มีอีกชื่อเรียกว่า Engulfing
- ลักษณะของแท่งเทียนจะมีราคาเปิดและปิดต้องอยู่สูงกว่าแท่งเทียนก่อนหน้า และที่สำคัญจุด High และ Low อยู่สูงกว่าแท่งเทียนก่อนหน้า แท่งเทียนปัจจุบันมีขนาดใหญ่กว่าแท่งก่อนหน้า
- กราฟที่แนวโน้มเป็น Bearish แสดงว่ามีแรงขายมากกว่าแรงซื้อ พบได้บ่อยในแนวโน้มขาขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่ามีโอกาสสูงกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง
- กราฟที่แนวโน้มเป็น Bullish แสดงว่ามีแรงซื้อมากกว่าแรงขาย พบได้บ่อยในแนวโน้มขาลง เป็นสัญญาณบอกว่ามีโอกาสสูงกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น
- มักจะเกิดในช่วงกลับตัวของเทรนด์หรืออยู่ระหว่างแนวโน้ม โดยเลือกดูแท่งเทียนที่มีคุณภาพก็คือ มีแท่งเทียนขนาดใหญ่
Pin Bar
Bearish ไส้เทียนอยู่ด้านล่างมีการเทขายออกมาแต่พบว่ามีแรงซื้อดันกลับเข้ามา มีสัญญาณของความขัดแย้งของราคาที่ตลาดมีแรงซื้อมากกว่าแรงขาย Bullish ไส้เทียนอยู่ด้านบนมีแรงซื้อที่ดันราคาขึ้นไปแต่กลับมีแรงขายเทขายดันราคาลงมา แสดงว่าตลาดมีแรงขายมากกว่าแรงซื้อ
Pin Bar 1 จะพบว่ามีการเกิด Pin Bar แบบ Bearish ต่อเนื่องถึง 3 แท่งสะท้อนให้เห็นว่ามีแรงซื้อเข้ามามากกว่าแรงขายที่แข็งแกร่งจนเกิดสัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้นเกิดขึ้น Pin Bar 2 เกิด Pin Bar แบบ Bearish เช่นกันเพียงแท่งเดียวแต่คุณภาพการเข้าซื้อค่อนข้างแข็งแกร่งส่งผลให้เกิดเป็นเทรนด์ขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- มีอีกชื่อเรียกว่า Hammer หรือ Shooting Star
- ลักษณะของแท่งเทียนตัว Body ของแท่งเทียนจะสั้น และมีไส้เทียนที่ยาวมาก โดยความยาวของไส้เทียนจะยาวกว่า Body ของแท่งเทียนมากกว่า 2 เท่า
- Bearish หรือ Hammer ไส้เทียนอยู่ด้านล่างแสดงให้เห็นว่ามีแรงขายที่ได้เทขายออกมาแต่กลับมีแรงซื้อกลับเข้ามา สะท้อนให้เห็นว่าตลาดมีแรงซื้อมากกว่าแรงขาย ทิศทางราคามีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น
- Bullish หรือ Shooting Star ไส้เทียนอยู่ด้านบนแสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อที่พยายามดันขึ้นแต่ก่อนจะปิดแท่งเทียนกลับมีแรงขายเทขายออกมา สะท้อนให้เห็นว่าตลาดมีแรงขายมากกว่าแรงซื้อ ทิศทางราคามีโอกาสที่จะปรับตัวลง
- แนะนำให้มีการใช้แนวรับแนวต้านร่วมด้วย เนื่องจาก Pin Bar จะใช้งานได้ดีในช่วงแนวรับแนวต้าน
- แนะนำให้เข้าเทรดช่วงที่มีการเกิด Pin Bar ตามสัญญาณที่มีโอกาสเกิดแนวโน้มต่อไป โดยเฉพาะช่วงที่มีการเกิด Pin Bar ต่อเนื่องหลายอัน
การเตรียมพร้อมก่อนเทรดทองคำด้วย Price Action
- การเทรดทองคำด้วยการใช้ Price Action ไม่มีกฎตายตัว
- ควรมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาด
- เทรดตามสัญญาณของกราฟไม่เทรดตามอารมณ์
- การเทรดด้วย Price Action จะไม่มีการใช้ Indicators
- แนะนำให้ใช้ไทม์เฟรมที่มากกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป
- ใช้รูปแบบ Price Action ที่เทรดเดอร์เข้าใจมากที่สุดก่อน
- หารูปแบบ Price Action ที่เกิดขึ้นบ่อยในไทม์เฟรมที่เลือกใช้ให้มากที่สุด
- ควรรอสัญญาณที่ชัดเจนจากการใช้ Price Action อย่าเข้าเทรดเร็วเกินไป
- แนะนำให้ใช้แนวรับแนวต้านร่วมกับการใช้ Price Action เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเทรด
บทสรุป
การเทรดทองคำกับการใช้ Price Action เป็นรูปแบบการเทรดด้วยกราฟแท่งเทียนเปล่า ที่ช่วยให้เทรดเดอร์เห็นแนวโน้มของราคาได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่าการใช้ Indicators ซึ่งเหมาะอย่างมากกับการเทรดระยะสั้น ควรศึกษารูปแบบ Price Action ที่เกิดขึ้นบ่อยในไทม์เฟรมที่ใช้ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสสร้างพอร์ตให้เติบโตต่อเนื่อง