สำหรับเทคนิคการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาทองคำผ่าน Chart Patterns หรือ Price Patterns ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากเหล่าเทรดเดอร์ เนื่องจากเป็นรูปแบบการวิเคราะห์ราคาทองคำด้วยกราฟเปล่าโดยที่ไม่ต้องใช้ Indicators ทางเทคนิคใด ๆ แค่เพียงศึกษารูปแบบ Chart Patterns ของราคาทองคำให้ได้มากที่สุดก็จะเป็นตัวช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดเดาราคาทองคำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแม่นยำ ซึ่งตามกฤษฎีของการเทรดรูปแบบกราฟของราคาทองคำที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตจะมีโอกาสเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ทำความรู้จักกับ Chart Patterns
ก่อนที่เราจะได้ศึกษา Chart Patterns รูปแบบต่าง ๆ ที่พบบ่อยนั้นมีอะไรบ้าง เรามาทำความรู้จักกับ Chart Patterns ก่อนว่าคืออะไร มีข้อดีและข้อจำกัดในการวิเคราะห์ราคาทองคำอย่างไรบ้าง
Chart Patterns คืออะไร
การวิเคราะห์พฤติกรรมราคาทองคำผ่าน Chart Patterns คือ รูปแบบการวิเคราะห์ราคาทองคำผ่านการเรียงตัวของกลุ่มกราฟแท่งเทียน ซึ่งเป็นรูปแบบที่สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของราคาทองคำในอดีตซึ่งจะเป็นพฤติกรรมที่มีการเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ถ้าหากราคามีการทะลุแนวรับและแนวต้านไปตามที่รูปแบบ Chart Patterns กำหนดก็สามารถทำให้เทรดเดอร์คาดเดาแนวโน้มของราคาทองคำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ว่าเป็นแนวโน้มขาลง ขาขึ้น หรือเกิดการกลับตัวนั่นเอง
ข้อดีของการวิเคราะห์ราคาทองคำด้วย Chart Patterns
- ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถนำรูปแบบกราฟต่าง ๆ ไปคาดการณ์แนวโน้มของราคาทองคำในอนาคตได้
- ลดการพึ่งพาเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ และช่วยประหยัดค่า Indicators
- ช่วยค้นหาจุดกลับตัวของเทรนด์ได้อย่างแม่นยำ
ข้อจำกัดของการวิเคราะห์ราคาทองคำด้วย Chart Patterns
- ต้องใช้เวลาศึกษาและจดจำรูปแบบต่าง ๆ ของกราฟ
- มีรูปแบบกราฟหลากหลายรูปแบบซึ่งอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่
- มี Chart Patterns ที่หลากหลายรูปแบบอาจจะทำให้เกิดความสับสนในการใช้งานและอาจจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการคาดเดาแนวโน้มของราคาได้
ประเภทของรูปแบบ Chart Patterns มีอะไรบ้าง
สำหรับ Chart Patterns ที่ได้รับความนิยมสูงจากเหล่าเทรดเดอร์ในการวิเคราะห์ราคาทองคำจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันได้แก่
- รูปแบบการไปต่อของราคา (Continuation Pattern)
- รูปแบบการกลับตัวของราคา (Reversal Pattern)
รูปแบบการไปต่อของราคา (Continuation Pattern)
- เป็นรูปแบบของกราฟที่จะบอกว่าทิศทางของราคาทองคำมีแนวโน้มไปในทิศทางเดิมต่อเนื่อง โดยกราฟจะมีการแสดงพักตัวของราคาที่กำลังเป็นเทรนขาขึ้นหรืออยู่ในทิศทางขาลง หลังจากมีการพักตัวเรียบร้อยแล้วราคาก็ยังคงดำเนินต่อไปในทิศทางเดิม
- ประกอบด้วยรูปแบบ Ascending Triangles, Symmetrical Triangle, Descending Triangle และ Flags
รูปแบบการกลับตัวของราคา (Reversal Pattern)
- บ่งบอกว่าราคาทองคำมีโอกาสกลับตัวหรือเปลี่ยนทิศทางราคาไปในทางตรงกันข้าม โดยมีสัญญาณบ่งบอกว่าเทรนด์ที่เกิดขึ้นอยู่นี้กำลังจะสิ้นสุดลงและเปลี่ยนเป็นเทรนด์ใหม่ซึ่งมีทิศทางตรงกันข้าม มันจะเป็นรูปแบบของกราฟที่อยู่ในช่วงท้ายของเทรนด์ เช่น ช่วงจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของราคาในช่วงนั้น
- สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ 2 รูปแบบ ก็คือ จากแนวโน้มขาขึ้นเป็นแนวโน้มขาลงหรือจากแนวโน้มขาลงเป็นแนวโน้มขาขึ้น
- กลุ่มของรูปแบบ Chart Patterns ที่มีการกลับตัวเปลี่ยนจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นแนวโน้มขาลง ก็คือ รูปแบบ Double Top, Triple Top และ Head and Shoulder ส่วนรูปแบบ Double Bottom, Triple Bottom และ Inverted Head and Shoulder จะมีการกลับตัวเปลี่ยนจากแนวโน้มขาลงเป็นแนวโน้มขาขึ้น
รูปแบบการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาทองคำ Chart Patterns ที่พบบ่อย
Head and Shoulder
- เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง และเป็นรูปแบบกราฟที่มีความแม่นยำมากที่สุด
- รูปแบบของกราฟเหมือนกับมีไหล่สองข้างและมีหัวอยู่ตรงกลาง กราฟส่วนหัวจะเป็นจุดที่สูงมากที่สุด โดยกราฟจะเริ่มต้นที่กราฟขึ้นไปทดสอบที่แนวต้านครั้งที่ 1 พักตัวลงมาที่แนวรับส่วนราคาจะพุ่งแนวต้านขึ้นไปทำจุดสูงสุดในเวลานั้นแต่ก็ย่อตัวลงมาที่แนวรับจากนั้นกลับไปที่แนวต้านไม่สามารถทะลุไปได้และพักตัวลงมาทะลุแนวรับแสดงว่ามีโอกาสเกิดการเปลี่ยนเทรนจากขาขึ้นเป็นขาลงสูง
- จุดที่ต้องระวังก็คือ บริเวณไหล่ขวาเพราะว่ากราฟจะมีการขึ้นไปทดสอบที่แนวต้านแต่ไม่สามารถผ่านไปได้
- เป็นรูปแบบกราฟที่เหมาะกับการเปิดออเดอร์ Sell มากกว่า
หมายเหตุ Neckline คือ เส้นที่เป็นแนวรับหรือแนวต้าน หากพบว่าราคามีการทะลุเส้น Neckline ไปในทิศทางใดมีโอกาสสูงที่ราคาจะเคลื่อนที่ไปยังทิศทางนั้น
Double Top
- เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง
- รูปกราฟจะมีลักษณะคล้ายกับตัวอักษร M ซึ่งจะมีลักษณะตรงข้ามกับกราฟรูปแบบ Double Bottom ราคาจะมีการขึ้นไปทดสอบที่แนวต้าน 2 ครั้ง โดยแนวต้านที่กราฟได้ขึ้นไปทดสอบนั้นจะมีราคาใกล้เคียงกัน
- มีการพุ่งของราคาไปทดสอบที่แนวต้านในรอบแรกจากนั้นราคาก็มีการพักตัวลงมาที่แนวรับก่อนที่จะไปทดสอบที่แนวต้านอีกรอบแต่ไม่สามารถผ่านแนวต้านรอบนี้ไปได้ หากมีการย่อตัวลงมาผ่านทะลุแนวรับไปได้แสดงว่ามีโอกาสเปลี่ยนเทรนด์จากขาขึ้นเป็นขาลงสูง
- เป็นรูปแบบกราฟที่เหมาะกับการเปิดออเดอร์ Sell มากกว่า
Triple Top
- เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลงเช่นกัน
- รูปแบบของกราฟมีลักษณะคล้ายกับ Double Top แต่จะมีการขึ้นไปทดสอบที่แนวต้านถึง 3 ครั้ง
- รูปแบบของกราฟจะเริ่มต้นด้วยการพุ่งตัวไปที่แนวต้านในครั้งแรกแต่ไม่สามารถผ่านได้กลับลงมาพักตัวที่แนวรับครั้งที่ 1 ซึ่งก็ไม่สามารถทะลุแนวรับลงไปก็ทำการกลับตัวขึ้นไปที่แนวต้านรอบที่ 2 แล้วย่อตัวลงมาพักที่แนวรับรอบที่ 2 แต่ก็ยังไม่ทะลุแนวรับในครั้งนี้พักตัวแล้วขึ้นไปที่แนวต้านอีกครั้งแต่ไม่สามารถผ่านแนวต้านไปได้กลับลงมาหากราคาทะลุแนวรับนี้ลงมาได้ก็แสดงว่ามีโอกาสสูงที่จะมีการกลับตัวจากเทรนขาขึ้นเป็นเทรนขาลง โดยแนวต้านที่กราฟได้ขึ้นไปทดสอบนั้นจะมีราคาใกล้เคียงกัน
- เป็นรูปแบบกราฟที่เหมาะกับการเปิดออเดอร์ Sell มากกว่า
Inverted Head and Shoulder
- เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น และเป็นรูปแบบกราฟที่มีความแม่นยำมากที่สุด
- รูปแบบกราฟมีลักษณะคล้ายกับหัวคนและมีไหล่ 2 ข้างในรูปแบบกลับหัว จะมีลักษณะเหมือนกับกราฟ Head and Shoulder แต่มีการกลับหัว
- กราฟจะมีการทดสอบที่แนวรับถึง 3 ครั้ง แต่ครั้งที่ 3 ไม่สามารถทะลุผ่านแนวรับไปได้ จึงเกิดการพุ่งตัวของราคาไปที่แนวต้านได้ในครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นจุดที่ต้องระวัง หากมีการขึ้นไปทดสอบที่แนวต้านและทะลุผ่านขึ้นไปแสดงว่ามีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นได้
- เป็นรูปแบบกราฟที่เหมาะกับการเปิดออเดอร์ Buy มากกว่า
Double Bottom
- เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น
- รูปกราฟจะมีลักษณะคล้ายกับตัวอักษร W ซึ่งจะมีลักษณะตรงข้ามกับกราฟรูปแบบ Double Top
- มีการลงของราคาไปทดสอบที่แนวรับในรอบแรกจากนั้นราคาก็มีการพ่งตัวขึ้นมาที่แนวต้านก่อนที่จะลงทดสอบที่แนวรับอีกรอบแต่ไม่สามารถทะลุผ่านแนวรับรอบนี้ไปได้ โดยแนวต้านที่กราฟได้ขึ้นไปทดสอบนั้นจะมีราคาใกล้เคียงกัน จากนั้นราคาก็พุ่งตัวทะลุแนวต้านขึ้นไปพร้อมกับเปลี่ยนเทรนด์ของกรฟไปในทิศทางตรงกันข้ามเปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้นนั่นเอง
- เป็นรูปแบบกราฟที่เหมาะกับการเปิดออเดอร์ Buy มากกว่า
Triple Bottom
- เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น
- รูปแบบของกราฟมีลักษณะคล้ายกับ Double Bottom แต่จะมีการลงไปทดสอบที่แนวรับถึง 3 ครั้ง
- รูปแบบของกราฟจะเริ่มต้นมีย่อตัวลงมาพักทดสอบที่แนวรับ 3 ครั้ง ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้นไปทะลุผ่านแนวต้านในครั้งที่ 3 ได้แล้วทำการเปลี่ยนเทรนขาลงเป็นเทรนขาขึ้น โดยราคาที่กราฟทำการลงไปทดสอบในแนวรับทั้ง 3 ครั้งจะมีราคาใกล้เคียงกัน
- เป็นรูปแบบกราฟที่เหมาะกับการเปิดออเดอร์ Buy มากกว่า
Ascending Triangles
- เป็นการแสดงสัญญาณว่ามีการไปต่อในแนวโน้มขาขึ้น
- เส้นเทรนด์ที่ปรากฏจะ 2 เส้น ก็คือ เส้นแนวต้านแนวนอนด้านบน และเส้นแนวรับจะทำเป็นเส้นทแยงมุมขึ้นไปด้านบนคล้ายกับเส้น Upline Trend
- ถ้าหากพบว่าราคามีการทะลุแนวต้านไปได้แสดงว่าควรเปิดออเดอร์ Buy จะดีกว่าจนกว่าจะเกิดสัญญาณการกลับตัว
Symmetrical Triangle
- เป็นสัญญาณที่มีแนวโน้มได้ทั้งขาขึ้นและขาลง โดยกราฟมีการพุ่งต่อเนื่องทั้งแนวรับแนวต้านจะเป็นทำมุมสามเหลี่ยมเข้าหากัน
- พบว่ากำลังมีการสะสมแรงซื้อและแรงขายอย่างต่อเนื่อง และกราฟกำลังเลือกทิศทางไปต่อ ถ้าหากราคามีการทะลุแนวต้านขึ้นไปแสดงว่ามีโอกาสสูงราคาที่จะมีแนวโน้มขาขึ้น แต่ถ้าราคาทะลุแนวรับลงมาแสดงว่าแนวโน้มกำลังเป็นขาลง
- ถ้าหากแนวโน้มเป็นขาขึ้นควรเปิดออเดอร์ Buy แต่ถ้าพบว่าแนวโน้มเป็นขาลงควรเปิดออเดอร์ Sell
Descending Triangle
- สัญญาณของกราฟจะแสดงแนวโน้มเป็นขาลง เส้นแนวรับจะอยู่ในแนวนอนและมีเส้น Downtrend ทแยงตัวลงมาทำมุมเป็นสามเหลี่ยม
- รูปแบบของกราฟจะลักษณะตรงกันข้ามกับ Ascending Triangles
- ถ้าหากพบว่าราคามีการทะลุแนวรับลงไปได้แสดงว่าควรเปิดออเดอร์ Sell จะดีกว่าจนกว่าจะเกิดสัญญาณการกลับตัว
Flags
- Bullish Flag เป็นสัญญาณการไปต่อของราคาที่มีแนวโน้มขาขึ้น โดยราคาจะมีการสลับกับทำ High และ Low ในกรอบที่ราคาจะต่ำลงไปเรื่อย ๆ ถ้าหากกราฟทำการทะลุแนวต้านขึ้นไปได้แสดงว่ามีโอกาสสูงที่เกิดเทรนด์ขาขึ้นควรเปิดออเดอร์ Buy
- Bearish Flag
เป็นสัญญาณการไปต่อของราคาที่มีแนวโน้มขาลง โดยราคาจะมีการสลับกับทำ High และ Low ในกรอบที่ราคาจะสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าหากกราฟทำการทะลุแนวรับลงไปได้แสดงว่ามีโอกาสสูงที่เกิดเทรนด์ขาลงควรเปิดออเดอร์ Sell
บทสรุป
สำหรับการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาทองคำผ่าน Chart Patterns ถือว่าเป็นเทคนิคหรือเครื่องมือการเทรดที่ทรงพลังมากที่จะช่วยให้เทรดเดอร์คาดเดาแนวโน้มของราคาทองคำได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในการกลับตัวของเทรนด์ซึ่งจะเป็นโอกาสที่จะทำให้พอร์ตของเทรดเดอร์เติบโตได้อย่างมั่นคง แนะนำว่าควรทำการฝึกฝนและศึกษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความสับสนของ Chart Patterns ที่มีรูปแบบใกล้เคียงกัน ลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้และทำให้มีความมั่นใจ ขจัดอารมณ์เชิงลบและอคติที่เกิดขึ้นในระหว่างเทรดได้อย่างดีเยี่ยม